หากคุณกำลังวางแผนขอสินเชื่อรถยนต์ อาจจะเคยได้ยินว่าธนาคารหรือไฟแนนซ์แนะนำให้ซื้อ“ประกันชีวิตคู่กับสินเชื่อรถยนต์” แต่หลายคนก็ยังสงสัยว่ามันจำเป็นแค่ไหน? คุ้มครองอะไรบ้าง? หรือเป็นค่าใช้จ่ายแฝงที่ไม่จำเป็น? บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจเกี่ยวกับประกันชีวิต สินเชื่อรถยนต์ ว่าจริงๆ แล้วคืออะไร และมีข้อดีข้อเสียอย่างไร รวมถึงช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าควรทำหรือไม่!
ทำความเข้าใจประกันชีวิตสินเชื่อรถยนต์
ประกันชีวิต สินเชื่อรถยนต์ คืออะไร?
ประกันชีวิตสินเชื่อรถยนต์ หรือCredit Life Insurance เป็นประกันที่มักจะถูกเสนอให้ผู้กู้สินเชื่อรถยนต์ โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อช่วยเหลือผู้กู้หรือครอบครัวของผู้กู้ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่นเสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวร
เมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวบริษัทประกันจะเป็นผู้จ่ายหนี้สินเชื่อรถยนต์แทนผู้กู้ ทำให้ครอบครัวหรือผู้รับมรดกไม่ต้องแบกรับภาระหนี้ต่อ
เงื่อนไขการคุ้มครองขอ ประกันชีวิต สินเชื่อรถยนต์
โดยทั่วไป ประกันชีวิตสินเชื่อรถยนต์จะมีเงื่อนไขการคุ้มครองดังนี้:
✔️คุ้มครองกรณีเสียชีวิต – หากผู้กู้เสียชีวิต บริษัทประกันจะชำระหนี้สินเชื่อที่เหลือให้แทน
✔️คุ้มครองกรณีทุพพลภาพถาวร – หากผู้กู้ประสบอุบัติเหตุจนไม่สามารถทำงานได้ถาวร ประกันจะจ่ายหนี้ที่เหลือให้
✔️อาจมีเงินคืนเมื่อหมดสัญญา – ประกันบางประเภทอาจคืนเงินเบี้ยประกันบางส่วนหากไม่มีการเคลม
ประกันชีวิต สินเชื่อรถยนต์ จำเป็นต้องทำไหม?
- ขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของไฟแนนซ์
บางสถาบันการเงินอาจกำหนดให้ต้องทำประกันชีวิตคู่กับสินเชื่อเป็นเงื่อนไขในการปล่อยกู้ เพื่อป้องกันความเสี่ยงหากผู้กู้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ - ลดภาระให้ครอบครัว หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน
หากคุณเป็นเสาหลักของครอบครัว และต้องการให้ครอบครัวปลอดจากภาระหนี้ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด ประกันนี้อาจเป็นตัวเลือกที่ดี - ป้องกันการถูกยึดรถในกรณีฉุกเฉิน
ถ้าเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงอย่างอุบัติเหตุที่ทำให้คุณไม่สามารถทำงานได้ และไม่มีรายได้มาผ่อนรถ ประกันชีวิตสินเชื่อจะช่วยป้องกันไม่ให้รถถูกยึด - ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นหรือไม่?
โดยทั่วไป เบี้ยประกันชีวิตสินเชื่อรถยนต์จะอยู่ที่1-5% ของยอดสินเชื่อ และมักจะถูกรวมไว้ในยอดผ่อนรายเดือน ดังนั้นก่อนทำประกัน ควรตรวจสอบว่าสามารถจ่ายเพิ่มได้หรือไม่
ข้อดีและข้อเสียของ ประกันชีวิต สินเชื่อรถยนต์
ข้อดีของการทำประกันชีวิตสินเชื่อรถยนต์
✅ช่วยปกป้องครอบครัวจากภาระหนี้ – หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน หนี้สินเชื่อรถยนต์จะถูกปิดโดยบริษัทประกัน
✅ทำให้ขอสินเชื่อผ่านง่ายขึ้น – บางธนาคารอาจพิจารณาอนุมัติสินเชื่อได้ง่ายขึ้นหากทำประกัน
✅ป้องกันการถูกยึดรถ – ลดความเสี่ยงหากเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ไม่สามารถชำระหนี้ได้
ข้อเสียของการทำประกันชีวิตสินเชื่อรถยนต์
❌เพิ่มค่าใช้จ่ายในการผ่อน – เบี้ยประกันจะถูกบวกเข้าไปในค่างวดรถ ทำให้ต้องจ่ายแพงขึ้น
❌ไม่ใช่ทุกคนที่จำเป็นต้องทำ – หากคุณมีเงินสำรอง หรือมีประกันชีวิตอยู่แล้ว อาจไม่จำเป็นต้องทำเพิ่ม
❌บางประกันอาจไม่คุ้มครองทุกกรณี – ควรอ่านเงื่อนไขให้ดี เพราะบางประกันไม่คุ้มครองกรณีเสียชีวิตจากโรคร้ายแรงบางประเภท
เทียบ ประกันชีวิต สินเชื่อรถยนต์ กับประกันชีวิตทั่วไป
รายการ | ประกันชีวิตสินเชื่อรถยนต์ | ประกันชีวิตทั่วไป |
วัตถุประสงค์ | คุ้มครองเฉพาะหนี้สินเชื่อรถยนต์ | คุ้มครองชีวิตและครอบครัว |
ระยะเวลาคุ้มครอง | จนกว่าสินเชื่อจะหมด | ตลอดอายุกรมธรรม์ |
ผู้รับผลประโยชน์ | ไฟแนนซ์หรือธนาคาร | ครอบครัวหรือทายาท |
ความคุ้มครอง | จ่ายหนี้แทนเมื่อเสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวร | จ่ายเงินให้ทายาทตามทุนประกัน |
ควรทำประกันชีวิตสินเชื่อรถยนต์หรือไม่?
ใครควรทำ?
✔️ คนที่ไม่มีเงินสำรองฉุกเฉิน
✔️ คนที่มีครอบครัวพึ่งพารายได้หลัก
✔️ คนที่กู้เงินจำนวนมาก และต้องการความมั่นใจว่าไม่ทิ้งภาระหนี้
ใครอาจไม่จำเป็นต้องทำ?
❌ คนที่มีเงินสำรองเพียงพอ
❌ คนที่มีประกันชีวิตอยู่แล้วและให้ความคุ้มครองสูง
❌ คนที่ต้องการลดค่าใช้จ่ายรายเดือน
เคล็ดลับเลือกประกันชีวิตสินเชื่อรถยนต์ให้คุ้มที่สุด
💡เปรียบเทียบเงื่อนไขก่อนตัดสินใจ – ควรสอบถามรายละเอียดและเปรียบเทียบจากหลายบริษัท
💡ตรวจสอบเบี้ยประกันและผลประโยชน์ – เช็กว่าเบี้ยประกันแพงเกินไปหรือไม่ และคุ้มครองอะไรบ้าง
💡อ่านรายละเอียดสัญญาให้ครบ – ดูให้แน่ใจว่ามีข้อยกเว้นอะไรที่อาจทำให้เคลมไม่ได้
ประกันชีวิต สินเชื่อรถยนต์คุ้มครองอะไรบ้าง?
หลายคนอาจคิดว่าประกันชีวิตสินเชื่อรถยนต์คุ้มครองแค่กรณีเสียชีวิต แต่ในความเป็นจริงประกันประเภทนี้อาจให้ความคุ้มครองในด้านอื่นๆ ด้วย ขึ้นอยู่กับกรมธรรม์และบริษัทประกันที่คุณเลือก โดยทั่วไปความคุ้มครองเพิ่มเติมที่อาจพบได้ ได้แก่:
1. คุ้มครองกรณีทุพพลภาพถาวร
หากผู้กู้ประสบอุบัติเหตุหรือป่วยหนักจนทำให้ไม่สามารถทำงานหรือหารายได้ได้อีกต่อไปบริษัทประกันจะรับผิดชอบชำระหนี้สินเชื่อรถยนต์แทน ช่วยลดภาระทางการเงินของครอบครัวและป้องกันไม่ให้รถถูกยึด
2. คุ้มครองกรณีเจ็บป่วยร้ายแรง
บางกรมธรรม์อาจมีการคุ้มครองเพิ่มเติมในกรณีที่ผู้กู้ป่วยเป็นโรคร้ายแรง เช่นโรคมะเร็ง โรคหัวใจ หรือโรคไตวายระยะสุดท้าย ซึ่งทำให้ไม่สามารถทำงานได้เต็มที่และส่งผลกระทบต่อรายได้
3. ค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุ
ในบางแพ็กเกจของประกันชีวิตสินเชื่อรถยนต์ อาจมีความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลกรณีประสบอุบัติเหตุ ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ และทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องค่ารักษาที่อาจส่งผลต่อความสามารถในการผ่อนชำระค่างวดรถ
4. เงินคืนเมื่อครบกำหนดสัญญา
แม้ว่าประกันชีวิตสินเชื่อรถยนต์ส่วนใหญ่มักไม่คืนเงินแต่บางกรมธรรม์อาจมีการคืนเบี้ยประกันบางส่วนหากไม่มีการเคลม ดังนั้นก่อนทำประกัน ควรสอบถามเงื่อนไขให้ละเอียดเพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุด
เปรียบเทียบ ประกันชีวิต สินเชื่อรถยนต์ของแต่ละธนาคาร
หากคุณกำลังพิจารณาทำประกันชีวิตสินเชื่อรถยนต์ควรเปรียบเทียบข้อเสนอจากหลายๆ ธนาคารหรือบริษัทประกัน เพื่อดูว่าแบบไหนคุ้มค่าที่สุด เราได้รวบรวมตัวอย่างข้อเสนอของธนาคารชั้นนำในประเทศไทยมาให้พิจารณา:
ธนาคาร/สถาบันการเงิน | เงื่อนไขการคุ้มครอง | เบี้ยประกัน | คืนเงินเมื่อครบสัญญา |
ธนาคารกสิกรไทย (KBank) | คุ้มครองกรณีเสียชีวิตและทุพพลภาพถาวร | 1.5-3% ของยอดสินเชื่อ | ❌ ไม่มีเงินคืน |
ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) | คุ้มครองกรณีเสียชีวิตและโรคร้ายแรง | 2-4% ของยอดสินเชื่อ | ✅ มีเงินคืนบางส่วน |
ธนาคารกรุงศรี (Krungsri Auto) | คุ้มครองกรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ | 1.2-3.5% ของยอดสินเชื่อ | ❌ ไม่มีเงินคืน |
ธนาคารธนชาต (TTB) | คุ้มครองกรณีเสียชีวิต ทุพพลภาพ และค่ารักษาพยาบาล | 1.8-4% ของยอดสินเชื่อ | ✅ บางกรมธรรม์มีเงินคืน |
🔹หมายเหตุ: ค่าเบี้ยประกันอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับวงเงินสินเชื่อ อายุของผู้กู้ และเงื่อนไขของแต่ละธนาคาร
เคล็ดลับในการเลือกประกันชีวิตสินเชื่อรถยนต์ให้คุ้มค่าที่สุด
1. เช็กก่อนว่าประกันเป็นเงื่อนไขบังคับหรือไม่
บางธนาคารหรือไฟแนนซ์อาจกำหนดให้ต้องทำประกันชีวิตสินเชื่อรถยนต์เป็นเงื่อนไขในการปล่อยกู้แต่บางแห่งอาจเป็นเพียงตัวเลือกเสริม ดังนั้น ควรสอบถามให้ชัดเจนก่อนว่าจำเป็นต้องทำหรือไม่
2. เปรียบเทียบค่าเบี้ยประกัน
อย่าลืมเปรียบเทียบค่าเบี้ยประกันจากหลายแห่ง เพื่อดูว่าที่ไหนให้ความคุ้มครองที่ดีที่สุดในราคาที่เหมาะสมบางแห่งอาจเสนอเบี้ยประกันที่ต่ำกว่า หรือมีโปรโมชั่นพิเศษสำหรับลูกค้าใหม่
3. ดูเงื่อนไขการคืนเงิน
หากคุณอยากได้รับเงินคืนเมื่อครบกำหนด ควรเลือกกรมธรรม์ที่มีการคืนเงินเบี้ยประกันบางส่วนแม้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ก็อาจคุ้มค่าในระยะยาว
4. ตรวจสอบความคุ้มครอง
บางประกันอาจให้ความคุ้มครองเฉพาะกรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเท่านั้นแต่บางกรมธรรม์อาจครอบคลุมถึงการเจ็บป่วยร้ายแรงและทุพพลภาพ ดังนั้น ควรเลือกกรมธรรม์ที่ให้ความคุ้มครองที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์และความเสี่ยงของคุณ
5. พิจารณาว่าคุณจำเป็นต้องทำหรือไม่
หากคุณมีประกันชีวิตอยู่แล้ว หรือมีเงินสำรองที่สามารถใช้ชำระหนี้ในกรณีฉุกเฉินอาจไม่จำเป็นต้องทำประกันชีวิตสินเชื่อรถยนต์เพิ่ม แต่หากคุณต้องการความมั่นใจในการปกป้องครอบครัวและลดความเสี่ยง ประกันประเภทนี้ก็เป็นตัวเลือกที่ดี
ตัวอย่างสถานการณ์: ใครควรทำประกันชีวิตสินเชื่อรถยนต์บ้าง?
✅ กรณีที่ควรทำ
🔹 คุณมีครอบครัวที่ต้องพึ่งพารายได้หลักของคุณ
🔹 คุณไม่มีเงินสำรองเผื่อเหตุฉุกเฉิน
🔹 คุณต้องการลดความเสี่ยงทางการเงินของครอบครัว
🔹 คุณทำสินเชื่อรถยนต์จำนวนมาก และต้องการให้มั่นใจว่าหนี้จะไม่เป็นภาระของครอบครัวหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด
❌ กรณีที่อาจไม่จำเป็นต้องทำ
🔸 คุณมีเงินเก็บสำรองเพียงพอที่จะปิดหนี้สินเชื่อรถยนต์ได้ทุกเมื่อ
🔸 คุณมีประกันชีวิตที่ครอบคลุมวงเงินสินเชื่อรถยนต์อยู่แล้ว
🔸 คุณต้องการลดค่าใช้จ่ายและมองหาวิธีการปกป้องความเสี่ยงที่ดีกว่า
สรุป: ประกันชีวิตสินเชื่อรถยนต์ ควรทำหรือไม่?
🔹ประกันชีวิตสินเชื่อรถยนต์มีข้อดีที่ช่วยป้องกันภาระหนี้ให้ครอบครัว และป้องกันการถูกยึดรถในกรณีฉุกเฉิน
🔹อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนที่จำเป็นต้องทำ หากคุณมีเงินสำรองหรือประกันชีวิตอยู่แล้ว อาจไม่ต้องทำเพิ่ม
🔹ก่อนทำประกัน ควรพิจารณาค่าใช้จ่าย และความคุ้มค่าตามความจำเป็นของตัวเอง
หากคุณกำลังขอสินเชื่อรถยนต์ และต้องการทราบว่าควรทำประกันชีวิตคู่กับสินเชื่อหรือไม่ลองสอบถามไฟแนนซ์เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม และอย่าลืมเปรียบเทียบเงื่อนไขต่างๆ เพื่อให้ได้ตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคุณ! 🚗💰
อ่านบทความเกี่ยวกับสินเชื่อรถยนต์ได้ ที่นี่
No responses yet